ในบางสถานการณ์มนุษย์ก็ต้องหันหน้าเข้าหาการสวดมนต์อ้อนวอนเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
และก็อีกเช่นกันที่บ่อยครั้งที่เทวดาก็ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนั้น
มีกรณีตัวอย่างอยู่อันหนึ่งของพระราชินีมันเจียง
(Munjeong Queen) แห่งประเทศเกาหลี เมื่อตอนที่พระราชโอรสผู้ซึ่งเป็นรัชทายาทของพระนางประชวร
ด้วยความกังวลพระทัยในอาการประชวรของพระราชโอรสและความที่พระนางทรงรู้เป็นอย่างดีว่า
พระนางจะไม่สามารถมีพระโอรสได้อีก ทำให้ทรงมีรับสั่งให้จัดสร้างศิลปะกรรมทางพระพุทธศาสนาขึ้นจำนวน
400 ชิ้น ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงการจัดทำภาพเขียนจำนวน 50 ชิ้นรวมอยู่ด้วย
ด้วยทรงหวังว่า ด้วยบุญกุศลนี้จะช่วยให้เจ้าชายซึ่งเป็นพระราชโอรสทรงหายจากประชวร และเพื่อโอกาสที่พระนางจะสามารถมีประสูติกาลใหม่อีกครั้งหนึ่ง
โครงการของพระนางมันเจียงนี้ได้เริ่มขึ้นในปี
1563 และสิ้นสุดในอีก 2 ปีต่อมา แต่พระราชโอรสของพระนางก็สวรรคตในที่สุด
ในขณะที่โลกกำลังเข้าสู่ปี 2009
อย่างรวดเร็ว ภาพเขียนที่เก่าแก่ที่เกิดขึ้นในการจัดสร้างเมื่อครั้งสมัยนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ในโลกใบนี้เพียงแค่ 6 ภาพเท่านั้น
หนึ่งในจำนวนภาพเขียนที่ว่านี้ซึ่งมีชื่อว่า
‘Bhaisajyaguru Triad’ ถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่กรุงโซล ประเทศเกาหลี ในขณะที่อีก
4 ภาพถูกจัดแสดงอยู่ในประเทศญี่ปุ่น
ส่วนภาพเขียนสุดท้ายที่มีการพูดถึงกันมากที่สุดคือภาพที่มีชื่อว่า
พระพุทธเจ้าศากยมุนี ไตรอัด ‘Sakyamuni Buddha Triad’ ซึ่งในปัจจุบันนี้ถูกเก็บไว้ที่หอสะสมศิลป
Mary and Jackson Burke Collection ในกรุงนิวยอร์ค
ภาพเขียนสุดท้ายที่ว่านี้ได้ถูกค้นพบที่ประเทศญี่ปุ่นและต่อมาได้ถูกซื้อไปโดยหอสะสมศิลป
The Burke Collection ในปี 1990
ปัจจุบันมีกลุ่มชาวเกาหลี 7
คนกำลังรณณงค์เพื่อให้มีการคืนมรดกทางวัฒนธรรมนี้กลับสู่ประเทศเกาหลี
หลังจากที่พวกเขาได้ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของเอกชนแห่งนี้และพบว่า ภาพเขียนพระพุทธเจ้าศากยมุนี
ไตรอัด ‘Sakyamuni Buddha Triad’
ยังคงอยู่ในสภาพที่ดีมาก
ต้นกำเนิดของภาพเขียนนี้ได้ถูกจารึกด้วยตัวอักษรสลักสีทองปรากฎอยู่ที่ด้านล่างของภาพเขียนนี้
การเดินทางไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวของกลุ่มชาวเกาหลีทั้ง
7 คน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ได้สิ้นสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งประกอบด้วย
พระภิกษุชื่อ เฮ มูน (Hey Moon) จากวัดบองซัน (Bong Sun) ในเมืองนามแยง (Namyang), นายกีออนจิ (Gyeonggi)
และ ลี ซู-เจ็น (Lee Su-geun) เลขาธิการขององค์กรฆราวาสชาวพุทธ
(The Lay Buddhist Association) ของเกาหลี และพระภิกษุจากเกาหลีเหนืออีกจำนวนหนึ่ง
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อภารกิจทางศาสนาครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากชาวเกาหลีในต่างแดนที่กรุงนิวยอร์ค
ภาพเขียนโบราณภาพนี้ได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญในศิลปะสาขานี้และจากชุมชนชาวพุทธว่า
เป็นงานศิลปะทางพระพุทธศาสนาที่มีความสำคัญมากชิ้นหนึ่งที่ถูกจัดสร้างขึ้นในช่วงต้นราชวงศ์โจซอน
(Joseon) ซึ่งอยู่ในระหว่างปี
1392-1910
“ภาพเขียนพระพุทธเจ้าศากยมุนี ไตรอัด The Sakyamuni Buddha
Triad ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นของวัดเฮียม (Heam Temple) สามารถกล่าวได้ว่าเป็นตัวแทนของศิลปกรรมทางพระพุทธศาสนาของสมัยโจซอน (Joseon
Period)” แบ ยัง-อิล (Bae Young-il) จากสำนักงานวิจิตรศิลป์
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติของประเทศเกาหลี กล่าว
“ภาพเขียนนี้ไม่เพียงแต่เป็นของชุมชนชาวพุทธเท่านั้น
แต่ยังถือว่าเป็นของประวัติศาสตร์เกาหลีอีกด้วย เนื่องจากภาพเขียนดังกล่าวนี้เป็นภาพเขียนของสมัยโจซอนซึ่งเป็นภาพเขียนที่หายาก นายแบ ยัง-อิล (Bae Young-il) ยังกล่าวเสริมอีกว่า
ศาสนาพุทธซึ่งเคยถือว่าเป็นศาสนาประจำชาติของเกาหลีแต่ต่อมาได้ถูกแทนที่ด้วยศาสนาขงจื้อสมัยใหม่”
เฮ มูน (Hey Moon) ได้ขยายเวลาการเดินทางไปสหรัฐอเมริกา
เพื่อไปรวบรวมงานวิจัยและงานด้านบริหารจัดการ ออกไปให้ยาวขึ้นเพื่อที่จะได้พบปะกับผู้ดูแลของหอสะสมศิลปะ
The Burke Collection และในโอกาสของการพบกันในครั้งนี้เขาได้ร้องขอให้มีการขอยืมภาพเขียนดังกล่าวจากทาง
The Burke Collection ด้วย
วัตถุประสงค์ในภารกิจของตัวแทนชาวเกาหลีชุดนี้ก็เพื่อต้องการนำภาพเขียนภาพนี้กลับไปที่ประเทศเกาหลีให้ทันในเดือนกันยายน
2010 ในวาระการเปิดพิพิธภัณฑ์ของวัดเฮียมในประเทศเกาหลี
ผู้ดูแลของหอสะสมศิลปะ The Burke Collection ยังไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้ในขณะนี้ แต่ได้ตั้งข้อสังเกตุว่า การขอยืมภาพเขียนนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปได้
ถ้าทางประเทศเกาหลีได้ดำเนินการมาอย่างเป็นทางการและผ่านช่องทางกระบวนการที่ถูกต้อง
“ถ้าทาง The Burke Collection อนุมัติให้ยืมภาพเขียนภาพนี้ได้
ก็จะทำให้ทางเราสามารถจัดแสดงศิลปภาพเขียนทางพระพุทธศาสนาทั้ง 6 ภาพได้ในวาระการเปิดพิพิธภัณฑ์ของวัดเฮียมที่จะมาถึง
ซึ่งนิทรรศการก็จะประกอบภาพเขียนที่มีอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติของเกาหลีเอง
และที่อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น” จุง บีออง-กัค (Jung Byeong-guk) ตัวแทนของที่ประชุมแห่งชาติจาก The Grand National party และเป็นสมาชิกของคณะตัวแทนชาวเกาหลีที่เดินทางไปเมืองนิวยอร์ก กล่าว
“ตัวแทนทุกคนที่พวกเราได้พูดคุยด้วยทั้งที่นิวยอร์กและที่บอสตัน
รวมถึง เจ้าหน้าที่ของหอสะสมศิลปะ The Burke Collection ได้ให้คำตอบในเชิงบวกกับเราสำหรับประเด็นของการยืมภาพ
และในขณะนี้พวกเรากำลังรอคอยฟังข่าวดี” ลี ซู-กวน (Lee Su-geun) กล่าว
ในการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาของคณะชาวเกาหลีในครั้งนี้ได้รับมอบหมายให้ไปแวะเยี่ยมสถานที่สะสมศิลปะหลายแห่งในนิวยอร์กและที่บอสตัน
รวมทั้งได้รับมอบหมายภารกิจในการดำเนินการขั้นตอนต่างๆ เพื่อที่จะนำมรดกเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ของเกาหลีที่สูญหายไปยาวนานกลับคืนสู่ประเทศของตนเอง
การแวะเยี่ยมสถานที่แห่งหนึ่งในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ก็คือ
การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ The Arthure M. Sackler ซึ่งเป็นหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ทางศิลปของมหาวิทยาลัยฮาร์เวิรด์
เพื่อไปตรวจดูชิ้นงานทางศิลปะที่สะสมอยู่ที่ The Gregory Henderson
Collection
เฮนเดอร์สัน
เคยเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาประจำประเทศเกาหลีและประจำอยู่ในกรุงวอชิงตัน
และเป็นนักสะสมศิลปเกาหลีตัวยงอีกด้วย
หอสะสมศิลปะ “The Henderson Collection
ที่พิพิธภัณฑ์ The Sackler Museum จะพิจารณาเลือกสะสมวิจิตรศิลป์ประเภทเซรามิคแบบเกาหลีอย่างหลากหลายที่มีอยู่ในต่างประเทศ
นอกจากนี้ทางพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังได้เคยจัดแสดงผลงานทางศิลปะชุดพิเศษขึ้นครั้งหนึ่งเมื่อปี
1991 แต่ตอนนี้ผลงานทางศิลปะชุดดังกล่าวก็ไม่ได้มีการจัดแสดงให้สาธารณชนได้ชมอีกต่อไป”
เฮ มูน กล่าว
งานสะสมที่โดดเด่นอีกชุดหนึ่ง
มีชื่อเรียกตามชื่อของนักขายหนังสือโบราณรายย่อยที่ล่วงลับไปแล้วของเกาหลีคือ ยิ
ซอง-ยูอิ คอลเลคชั่น (Yi-Song-ui Collection) จัดแสดงอยู่ที่ห้องหนังสือหายากของห้องสมุด
C. V. Starr East Asian Library ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
หนังสือหายากจากสมัยราชวงศ์โจซอนเหล่านี้ทางมหาวิทยาลัยได้รับมาเมื่อช่วงทศวรรษ
1960 หนังสือบางเล่มในจำนวนนี้มีอายุเก่าแก่ย้อนไปถึงยุคตอนต้นของราชวงศ์โจซอนเลยทีเดียว
ขณะนี้ได้รับการตีพิมพ์ลงบนผิวโลหะที่สามารถโยกย้ายได้ เพราะว่าตัวหนังสือต้นฉบับจริงเหล่านี้ไม่ได้รับอนุญาติให้นำออกสู่สาธารณชน
ฮี มูน ยอมรับว่า หนังสือชุดที่สร้างขึ้นใหม่นี้ไม่ได้จัดเป็นของหายาก
“เกาหลีได้สูญเสียมรดกทางศิลปะจำนวนมากให้กับประเทศญี่ปุ่นระหว่างที่ตกเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่น
และให้กับประเทศอเมริกาในระหว่างและหลังการสิ้นสุดของสงครามเกาหลี มันเป็นการดีอีกอย่างที่ทำให้มรดกทางศิลปของเกาหลีไปจัดแสดงในสถานที่ต่างๆ ในต่างประเทศเพื่อให้ชาวโลกจำนวนมากได้ชม แต่อย่างไรก็ตามทางเราก็ได้ใช้ทุกความพยายามเพื่อนำศิลปะทุกชิ้นกลับคืนมา
ไม่ว่าจะเป็นผลงานทางศิลปะที่ถูกขโมยไป หรือที่ถูกนำไปอย่างผิดกฎหมาย”
ที่มา-http://joongangdaily.joins.com/article/view.asp?aid=2899998